วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

ຊົນເຜົ່າໄທລື້ ບ້ານໜອງບົວ




ไทลื้อบ้านหนองบัว ตำบลป่าคา อ.ท่าวังผา จ.น่าน

ความนำ

ความเป็นมาของนามท่าวังผานั้นคือ ลักษณะของเกาะแก่งในแม่น้ำน่าน ซึ่งมีแต่หินผาและเป็นวังน้ำอยู่มากมาย ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมระหว่างเมืองปัวกับเมืองน่านในอดีต หากมุมมองด้านโบราณคดีแล้ว พบชุมชนโบราณต้นกำเนิดเมืองน่านซึ่งมีอายุกว่า 800 ปี สร้างในสมัยพญาภูคา ปฐมกษัตริย์น่านแห่งราชวงค์ภูคา อยู่ในท้องที่ตำบลยม (รวมจอมพระด้วย) ซึ่งในปัจจุบันยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ในท้องที่บ้านเสี้ยว บ้านลอมกลาง บ้านทุ่งฆ้อง บ้านนานิคม บ้านถ่อน จากสภาพชุมชนนั้นเป็นชุมชนเมืองขนาดใหญ่ เพราะมีการค้นพบกำแพงเมือง วัดร้าง และพระพุทธรูปเป็นจำนวนมากในบริเวณลุ่มแม่น้ำย่าง ฉะนั้นท่าวังผาในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของเมืองปัว จึงเป็นเมืองเก่าแก่ ยุคเดียวกับสุโขทัย ซึ่งเดิมอยู่ในเขตการปกครองอำเภอปัว ต่อมาได้รับการยกฐานะเป็น กิ่งอำเภอท่าวังผา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2505 และต่อมาได้รับการยกฐานะเป็น อำเภอท่าวังผา ตั้งที่ว่าการอยู่ ณ บ้านสบยาว หมู่ที่ 4 ตำบลท่าวังผา อำเภอท่าวังผาตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอข้างเคียง คือ ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอสองแคว ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเชียงกลางและอำเภอปัว ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอสันติสุขและอำเภอเมืองน่าน ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอปง (จังหวัดพะเยา) แบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 10 ตำบล 91 หมู่บ้าน และประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 10 แห่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวไทเชื้อสายยวนเชียงแสน นอกจากนั้นยังมีชาวไทลื้อ ชาวม้ง ชาวเย้า และขมุ

ที่ราบลุ่มน้ำน่านทางทิศเหนือของจังหวัด ในอำเภอท่าวังผาและอำเภอปัว เป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ คำว่า “ท่าวังผา” บ่งบอกให้เห็นสภาพภูมิประเทศซึ่งมีลักษณะเป็น “วัง” อุดมด้วยปลานานาชนิด สองฝั่งแม่น้ำน่านขนาบด้วยหน้าผาสูงชัน สายน้ำสายนี้ในอดีตเคยเป็นเส้นทางขนส่งของป่า อาทิ ต๋าว,ตาว (ซึ่งมีเนื้อในเมล็ดอ่อน เรียกว่าลูกชิด เชื่อมกินได้) หวาย และเกลือ จากดอยสูงด้วยความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินและแหล่งน้ำ เมืองปัวและเชียงกลางจึงเป็นที่ตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของไทลื้อมาหลายร้อยปี วัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชาวไทลื้อ คือ การทอผ้าลายน้ำไหลซึ่งสะท้อนให้เห็นคติความเชื่อ ฝีมือเชิงช่าง และจินตนาการทางศิลปะของชุมชนชาวไทลื้อเป็นอย่างดี
หมู่บ้านไทลื้อหนองบัว บ้านหนองบัว ตำบลป่าคา จากตัวเมืองน่านใช้ทางหลวงหมายเลข 1080 ระยะทาง 41 กิโลเมตร ก่อนถึงอำเภอท่าวังผามีทางแยกซ้ายไปอีก 3 กิโลเมตร หมู่บ้านแห่งนี้มีฝีมือในการทอผ้าพื้นเมืองที่สวยงาม เรียกว่า “ผ้าลายน้ำไหล” ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดน่าน นับเป็นหัตถกรรมที่ตกทอดมาหลายยุคหลายสมัย
คำบอกเล่าของพัด เทพเสน (2553. มีนาคม, 18) กล่าวว่า ชาวลื้อบ้านหนองบัว ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่านอพยพมาจาก เมืองล้าแคว้นสิบสองปันนาประมาณ 200 ปี ย้อนมีสองน้าหลานของเจ้าเมือง เมืองล้าได้แย่งชิงอำนาดกันประชาชนได้รับความเดือดร้อนจึ่งทำให้ชาวลื้อหนองบัวได้อพยพตามกองทับน่านมาอยู่บ้านหว้ยไค้ และได้อาสัยประมีเจ้าเมืองน่าน การทำมาหากินรำบากไม่ที่อยู่ทำกินชาวบ้านก็ภากันไปชอกที่ทำกินที่ใหม่ จึ่งไปพบที่นาตึด(ที่ราบ) ริมแม่น้ำน่าน แล้วรายงานให้เจ้าเมืองชาบ ต่อมาก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านหนองบัวในปัจจุบันเพราะที่นี้มีน้ำหนองที่อยู่ทำกินดี(นาตึด=ที่ราบ) อุดมสมบุญเหมาะแก่การเพราะปูกชีพจึ่งกันตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี้
พัด เทพเสน ยังกล่าวอีกว่า ก่อนจะมาอยู่ที่นี้ก็มีผู้เฒ่าที่ได้นำภาลูกหลานหลายครอบครัว มาที่แรกไม่นามสกูล หามีประมาณ พ.ศ 2450 มาตั้งสกุล ขัติยะเทพ เป็นสกุลของเผ่าตนแต่ทางราชการกล่าวว่า ไม่ได้เพราะมันเป็นสกุลเจ้านายสะมัยราชาธิปไตย จึ่งเปลียนสกุลจากขัติยะเทพ มาเป็นสกล เทพเสน ดังนั้น จึ่งได้กำหนดวัตถุประสงค์การศึกษาโครงสร้างทางสังคมในด้าน ครอบครัว ด้านความเชื่อ ด้านการประกอบอาชีพ ด้านการปกครอง และด้านการแต่งงานของชาวไทลื้อบ้านหนองบัว ต.ป่าคา อ.ท่าวังผา จ.น่าน
สมใจ แซ่โง้ว และวิระพงค์ มิสะถาน (2541: 6) กล่าวว่า ส่วนไทยลื้อที่อพยพมาอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทยนั้นเป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองตามนโยบาย “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” หรือสร้างบ้านแปลงเมืองในสมัยล้านนาและสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กล่าวคือ สมัยพระยากาวิละผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. 1399) ซึ่งในขณะนั้นเชียงใหม่เป็นเมืองร้างเนื่องจากมีศึกสงครามกับพม่ามานาน จนผู้คนลี้ไภสงครามไปอยู่ตามป่าเขา ดังนั้นพระองค์จึ่งยกทัพไปตีและกวาดต้อนผู้ปกครองในรัฐไทยใหญ่และไทลื้อในสิบสองพันนามาที่ล้านนาลงมาอยู่ในล้านนาอีกสายหนึ่งคือ สายทางเมืองน่านกล่าวคือในสมัยที่เจ้าอัตถวรปัญญ (2325-2353) เจ้าหลวงเมืองน่านยอมสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2331 น่านเริ่มใช้นโยบาย “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” ทั้งโดยสันติวิธีและโดยการใช้กำลังกวาดต้อน (รัตนาพร เศษฐกุล, 2537: 5)
ในพงศาวดารเมืองน่านได้กล่าวถึง การอพยพและการกวาดต้อนไทลื้อจำนวนมากมาสู่นครน่านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2333 มีชาวไทยองหรือไทลื้อมาจากเมืองยอง (เมืองยองเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเชียงตุงในประเทศพม่า) จำนวน 585 ครัว และในปี พ.ศ. 2334 พระยาเชียงของนำครอบครัวไทลื้อเมืองเชียงของทั้งหมดออกมาจากเมืองแก่นท้าวเข้ามาเมืองน่านด้านใต้ และในปี พ.ศ. 2348 เจ้านายเมืองน่านยกกองทัพไปตีสิบสองพันนาโดยตีเมืองเชียงตุงและเมืองเชียงแขง ซึ่งต่างก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์ไทย แล้วนำตัวเจ้านายและขุนางต่าง ๆ พร้อมเคื่องราชบรรณาการไปกรุงเทพฯ และในสมัยเจ้าหลวงสุมนเทวราช (พ.ศ. 2353-2368) ได้ยกทัพขึ้นไปตรีและกวาดต้อนผู้คนมาจากเมืองล้า เมืองพง เชียงแขง เมืองหลวงภูคาในปี พ.ศ. 2355 มาเมืองน่าน 6 ครัว (สุรัสวดี อ๋องสกุล. 2539: 34 - 46)

ระบบโครงสร้างทางสังคม
ด้านครอบครัว จากการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับชนเผ่าไทลื้อหลายฉบับที่อยู่หลายจัง
หวัดทางภาคเหนือของไทย เช่น จังหวัด เชียงราย จังหวัด รำปาง เป็นต้น และชนเผ่าลื้อในสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้วพบว่าครอบครัวชนเผ่าลื้อในเมื่อก่อนที่มีการดำรงชีวิตในครอบ
ครัวหนึ่งมีคนหลายรุ่นด้วยกัน เช่น พ่อตา แม่ยาย พ่อแม่ ลูกสะไภล้ ลูกชาย และ พวกหลาน ดังพ่อพัด เทพเสนกล่าวว่า ครอบครัวชาวลื้อบ้านหนองบัว เมื่อก่อนเป็นครอบครัวที่มีพ่อตา แม่ยาย ลูกสไภล้ ลูกชาย และหลานเช่นกัน แต่ปัจจุบันส่วนมากจะแยกออกไปตั้งบ้านเรือนอยู่ต่างหากสมาชิกครอบครัวก็จะมีแต่พ่อแม่ และลูกเท่านั้นเนื่องจากว่าการที่อยู่เป็นครอบครัวใหญ่การชอกอยู่ทำกินลำบากมากปัจจุบันเครื่องใช้ที่จำเป็นก็ต้องได้ชื้อไม่เหมือนแต่คลาวก่อน.ในลักษณะนี้ทางสังคมวิทยาเรือกว่าครอบครัวขยายและครอบครัวเดี่ยว
ครอบครัวคือหัวหน่วยทางสังคมหนึ่ง หรือเป็นกลุ่มบุคคลที่มีฐานะภาพเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ บุคคลกลุ่มนี้ผูกพันกันโดยบทบาทและหน้าที่ต่อกันและกัน คาดหวังต่อกัน บุคคลอึ่นจะสัมพันธ์กับบุคคลกลุ่มนี้ก็โดยมีการกำหนดฐานะภาพและบทบาทของตนเสียก่อน ในครอบ
ครัวหนึ่ง ๆ อย่างหน้อยสุดครอบครัวจะต้องประกอบด้วยครู่สมรส (ครู่ผัวตัวเมีย) หนึ่งครู่ และลูก ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพศหญิงและเพศชาย หรือเพียงเพศใดเพศหนึ่งบางครอบครัวไม่มีลูกนั้นถือว่าเป็นข้อ
ยกเว้น ไม่ใช้เรื่องปกติธรรมดา ครอบครัวเป็นกลุ่มบุคคลทางสังคม ซึ่งเกิดจากสถาบันแต่งงาน การกระทำทุกอย่างของครอบครัวก็เพื่อจุผดงุสถาบันแต่งงาน ( Ember 1979. อ้างใน นิยพรรณ วรรณศิริ. 2550: 169)

ลักษณะบ้านเรือนของไทลื้อในสมัยก่อนบ้านเรือนจะยกสูงมีใต้ถุนมุงด้วยไม้แป้นเก็ด ฝาแอ้มค้วยไม้แป้น หรือบางครอบครัวก็จะมุงด้วยหย้าคา ฝาแอ้มด้วยไม้ไพร่ตามฐานะของแต่ระครอบครัวในเรือนจะแบ่งออกเป็นแต่ระส่วน เช่น ทางหน้าจะมีบันไดขึ้นไป มีพระนักสำรับนั่งหลิ้น หรือเป็นรับแขกและเป็นบ่อนภิธีกรรมเช่นผีส่วนข้างในจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนแรกห้องนอนจะไม่มีกั้นเป็นห้องจะใช้เพียงกองเชื่อ(เชื่อปูที่นอน)เป็นที่กั้นจะมีมุ่งสีดำที่ทอด้วยผ้าฝ้าย ปักระติพ่อแม่จะนอนทางห้องส้นริมสุดช้ายมือ ส่วนทางส้นสุดขัวมือจะเป็นที่นอนลูกสาว และส่วนที่สองเป็นบ่อนทำกิจจะกรรมในบริเวณประตูเข้าจะมีเตาไฟเพื่อความสะว่างเป็นบ่อนเต้าโรมสมาชิกครอบครัวภายในห้องจะมีเครื่องอุประกรในชีวิตประจำวัน ส่วนข้างนอกเรือนครัวจะมียุ้งข้าวที่เสรีมต่อจากเรือนและเป็นบ่อนเก็บเมี้ยนเครื่องมือออกแรงงาน ส่วนใต้ถุนบ้านจะมีกี่ทอผ้าและอุปกรรับใช้ในการทอผ้า แต่ย้อนสภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลงและเป็นปรับตัวทันกับสภาพแวดล้อมจึ่งทำให้วิถีชีวิตของชาวไทลื้อบ้านหนองบัวเปลี่ยนแปลงและบ้านเรือนที่ยังเป็นเอกรักษ์ก็เปลี่ยนแปลงด้วยจะเป็นบ้านสองชั้นชั้นเทิงเป็นไม้ชั้นล่างก็ด้วยดิน (คอนกริต)สิ่งที่ยังเป็นเอกรักษ์ดั้งเดิมก็คือ การแต่งกาย ภาษาพูด และการทอผ้านั้นเอง

ด้านความเชื่อ ชาวลื้อบ้านหนองบัวมีความเชื่อคือ ศาสนาพุธ และผีบรรพบุรุษ ผี
เรือน ไทลื้อมีความสัทราต่อศาสนาพุธเป็นอย่างมากพวกเขาถือว่าวัดเป็นสถานที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุข เป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวลื้อทุก ๆ คนในแต่ละปีจะมีการทำบูญอยู่ที่วัดเพื่ออุตฑิตส่วนบูญกุสนให้พ่อแม่ หรือยาตพี่น้องที่ได้ร่วงรับไปแล้ว ส่วนการถือผีบรรพบุรุษ ผีเรือนก็เป็นความเชื่อที่ชาวลื้อได้ปฎิบัติกันมาถึงทุกวันนี้พวกเขามีความเชื่อผีบรรพบุรุษ ผีเรือนพวกเขามีพิธีเช่นไหว้ผีเพื่อให้ผีจะไม่ทำร้ายไม่ทำให้เจ็บป่วยและจะได้คุ้มครองให้มีชีวิตที่ดี มีต่อการดำรงชีวิตของพวกเขา เช่น ก่อนมาการทำนาก็ต้องเช่นไหว้ให้ผีปกปักรักษาการเพราะปูกให้ต้นเข้งงอกงามไม่ให้สัตมาทำร้าย และให้ผลผลิตสูง

วัดหนองบัว หมู่บ้านหนองบัว ตำบลป่าคา ไปตามทางหลวงหมายเลข 1080 เลี้ยวซ้ายกิโลเมตรที่ 40 ข้ามสะพานแล้วเข้าไปอีก 3 กิโลเมตร วัดหนองบัวเป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้าน จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านทำให้สันนิษฐานได้ว่าวัดไทลื้อแห่งนี้สร้างราว พ.ศ. 2405 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๔) ภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์เล่าเรื่องในปัญญาสชาดก ซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่าเขียนโดย “ทิดบัวผัน” ช่างเขียนลาวพวนที่บิดาของครูบาหลวงสุ ชื่อนายเทพ ซึ่งเป็นทหารของเจ้าอนันตยศ (เจ้าเมืองน่านระหว่าง พ.ศ. 2395-2434) ได้นำมาจากเมืองพวน ในแคว้นหลวงพระบาง นอกจากนั้นยังมีนายเทพและพระแสนพิจิตรเป็นผู้ช่วยเขียนจนเสร็จ และยังมีภาพของเรือกลไฟ และดาบปลายปืนซึ่งเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ ภาพจิตรกรรมที่วัดหนองบัวแห่งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแต่งกายของผู้หญิงที่นุ่งผ้าซิ่นลายน้ำไหล หรือผ้าซิ่นตีนจกที่สวยงาม นับว่ามีคุณค่าทางศิลปะและความสมบูรณ์ของภาพใกล้เคียงกับภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดภูมินทร์ในเมืองน่าน นอกจากภาพจิตรกรรมแล้วที่ฐานพระประธานยังประดิษฐานพระพุทธรูปล้านนาองค์เล็กอยู่หลายองค์ และยังมีบุษบกสมัยล้านนาอยู่ด้วย นอกจากนี้มีบ้านจำลองไทลื้อ (เฮือนไทลื้อมะเก่า) มีอุปกรณ์การประกอบอาชีพของชาวไทลื้อจัดแสดงไว้

จากการสันระสูตของกรมศิลปะกรจังหวัดน่านกล่าวว่าช่างที่เขียนภาพจิตกรรมในโบสถ์วัดบ้านหนองบัวนั้นไม่ใช้ช่างลาวพวนแต่เป็นช่างของชาวไทลื้อที่มีชื่อว่า “หนานบัวผัน”เพราะว่าได้มีการพิสูตภาพจิตกรรมในโบสถ์วัดภูมินเป็นรายมือคนเดียวกันแสดงว่าช่างที่วาดในวัดหนองบัวไม่ใช้ช่างลาวพวนแน่นอน
วัดภูมินทร์ เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระนครดังปรากฏชื่อตำบลในเวียงในปัจจุบัน อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตามพงศาวดารของเมืองน่าน พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์เจ้าผู้ครองนครน่านได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี เมื่อ พ.ศ.2139 มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่าเดิมชื่อ“วัดพรหมมินทร์”แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็น
วัดภูมินทร์ เป็นวัดที่มีลักษณะแปลกกว่าวัดอื่นๆ คือโบสถ์และวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกันประตูไม้ทั้งสี่ทิศแกะสลักลวดลายงดงามโดยฝีมือช่างล้านนาไทย นอกจากนี้ฝาผนังภายในวิหารยังมีจิตรกรรมฝาผนังแสดงถึงชีวิตและวัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมาตามพงศาวดารของเมืองน่าน ...

ด้านการประกอบอาชีพ การประกอบอาชีพของชาวลื้อบ้านหนองบัวแต่เมื่อก่อนจน
ถึงทุกวันนี้อยังยึตถืออาชีพทำการเกษตกรรม หัตถกรรมเป็นอาชีพหลัก เช่น
การประกอบอาชีพเกษตกรรม แต่ก่อนชาวบ้านจะภากันเข้าเพื่อไว้บริโภชน์ นอกจากปูกข้าวแล้วชาวบ้านอยังปูกชีพต่าง ๆ เพื่อบริโภชน์ภายในครอบครัว การแลกเปลี่ยนเท่านั้นย้อนชาวบ้านมีความเอื้ออาทรต่อกันไม่มีการผลิตเป็นสินค้า แต่ปัจจุบันย้อนสภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลงชาวบ้านจึ่งหันการผลิตให้เป็นสินค้า นอกจากการปูกเข้าแล้วชาวบ้านอยังปูกชีพอื่น ๆ เช่น ถั่วเหลื่อง ถั่วดิน ข้าวโพด เป็นต้น

การประกอบอาชีพหัตถกรรม ย้อนมีความดุหมั่นขยัน อดทนทำให้ชีวิตของชาวไทลื้อมีการเปลี่ยนแปลงและมีชื่อเสียงไปทั่วภายในและต่างประเทศนั้นก็คือการทอผ้า พ่อพัด เทพเสนกล่าวว่า การทอผ้าแม่นสืบทอดมาจากบรรพบุรุตของไทลื้อเมืองล้าในสมัยก่อนทอเพื่อรับครอบครัวทุก ๆ ครอบครัวจะทอผ้าใช้เอง วัดถุดิบที่นำมาทอนั้นก็ทำเอง เช่น ปูกต้นฝ้ายแล้วนำดอกฝ้ายมาทำเป็นด้ายแล้วนำมาทอเป็นชมใช้เอง(จะมีอุปะกรขั้นตอนในการทำ ดั่งประกฎในรูปภาพ) ในปัจจุบันการทอผ้าได้กายเป็นธุรกิจครอบครัวสร้างรายได้ให้กับครอบครัวอย่างมหาสารทำให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้นตามรำดับ นอกจากทอผ้าแล้วอยังหัตถกรรมจักสาน เช่น โกย ตระก้า กระด้ง เป็นต้น เมื่อรับใช้ครอบครัวแล้วยังขายเป็นสินค้าเพื่อเสรีมสร้างรายได้ครอบครัวให้ยั้งยืนอีกด้วย

ระบบการปกครอง จังหวัดน่านมีพื้นที่เป็นภูเขาเป็นส่วนมากและมีระบบการ
ปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการอย่างครบถ้วนทางภาครัฐได้ให้สิตอำนาจส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มที่ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล กำนันผู้ใหญ่บ้านได้บริหารหมู่บ้านของตนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนและพร้อมกันปฎฏิบัติ เช่น การวางกฤระเบียบในการอนุรักษ์การจัดการป่าชุมชน กฤระเบียบในการปรับถ้ามีคนลักษ์ขโมยสิ่งของต่าง ๆ ตามการตกรงกันของผู้นำคณะบ้าน
ในสมัยก่อนการปกครองของไทลื้อบ้านบัว ได้อิงใส่เจ้ากกเจ้าเล่าผู้ที่มีอำนาจ(พยา)ในการปกป้องบ้านเมือง แต่ปัจจุบันปกครองแบบประชาธิปไตยด้วยกฎหมายโดยที่รัฐเข้ามาจัดการเรื่องการบริหารการจัดการหมู่บ้านโดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลสร้างองค์กรต่าง ๆ เพื่อสะดวกในการบริหารงานแต่ชาวบ้านหนองบัวก็ยังใช้จารีตประเพณีที่ได้สืบทอดจากบรรพบุรุตมาเป็นกฎกติกาในการคลุ้มครองหมู่บ้านของตนโดยผู้ใหญ่บ้านและบรรดาผู้นำชุมยังเรียกประชาชนมาประชุมเพื่อตกรงเห็นดีเป็นเอกภาพกันเ ข้อห้ามบางอย่างที่ต้องปะติบัติ เช่น ถ้าคนใดไปลักษ์ปลาในบ่อน้ำ(ในสะ) จะต้องปรับเป็นเงิน 500 บาทต่อครั้ง ห้ามจำน่าย หรือขายบูรีพายในหมู่บ้านเด็ดขาด เป็นต้น นอกจากนั้นก็วางข้อกำหนด เพศหญิงเวลามีกิจจะกรรมหมู่บ้าน หรือทำบุญที่วัดจะต้องนุ่งผ้าถุงใส่เครื่องสุภาพ ส่วนเพศชายก็นุ่งเครื่องสุภาพเรียบร้อยนี้เป็นกฎที่ได้ร่วมกัน แสดงให้เห็นว่านอกจากการใช้กฎหมายของรัฐแล้วก็ยังจะต้องใช้จาริตผสมผสานกันในการบริหารการจัดการคุ้มครองหมู่บ้านของตนเองอย่างมีปรสิทธิภาพทุกคนมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง

ประเพณีการแต่งงาน การอยู่ข่วงในสมัยก่อนเป็นจารีตประเพณีเปิดโอกาสให้ชายหนุ่ม
หญิงสาวมีการพบหลังจากการทำงานในไร่นาแล้ว โดยหญิงสาวจะมานั่งปั่นฝ้าย ที่ตั้งหรือร้านนั่งในบริเวณบ้านในเวลากลางคืนแต่ต้องอยู่ในสายตาของพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเพื่อไม่ให้มีการล่วงเกินจารีตประเพณีที่เรียกว่าการผิดผี ในปัจจุบันการอยู่ข่วงมีน้อยลงไปทุกที่เพราะอิทธิพลจากสังคมภายนอกเข้ามาแทน เมื่อหญิงชายนักปะกันแล้วหนุ่มสาวครู่ใดมีความพอใจซึ่งกันและกันแล้ว ฝ่ายชายจะส่งผู้ใหญ่(อาจจะเป็นพ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่) ไปตกลงกับญาติฝ่ายหญิง เมื่อตกลงกันแล้ว ญาติทั้งสองฝ่ายจะนำดอกไม้ธูปเทียนห่อไปแลกเปลี่ยนกัน แล้วญาติแต่ละฝ่ายไปบอกกล่าวผีของตนให้ทราบ ที่เรียกว่า “การไขวผี” ซึ่งจะต้องขึ้นกับฤกษ์ยาม “วันหอเรียงหมอน” กล่าวคือ จะบอกกล่าวผีในช่วงเย็นก่อนวันหอเรียงหมอนหนึ่งวัน และในคืนวันหอเรียงหมอนฝ่ายชายจะมาหรับนอนที่บ้านฝ่ายหญิงและอยู่ประมาณ 3 คืนเรียกว่า “เขยใหม่” ซึ่งในระหว่างนี้จะหาฤกษ์ยามในการแต่งงาน หรือฝ่ายชายมาอยู่บ้านฝ่ายหญิงก่อน 1-2 เดือนแล้วจึ่งหาฤกษ์ยามเพื่อแต่งงานก็ได้ขึ้นอยู่กับความพ้อมของทั้งสองฝ่าย การเรืยกสินสอดไม่มี สอดคร้องกับพ่อพัด เทพเสนให้สัมพาษณ์ ครั้งวันที่ 18 มีนาคม 2553 ปัจจุบันก็ยังไม่มีค่าสินสอด (ค่าดอง) นอกจากคนต่างบ้าน ต่างกลุ่มจึ่งจะมีการเรียกสินสอดตามการตกลงกันระหว่างทั้งสองฝ่าย (สมใจ แซ่โง้ว และวีระพงค์ มีสถาน 2539: 21)

ถึงว่าสภาพเศษฐกิจ สังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่วิถีชีวิตของชาวเผ่าลื้อบ้านหนองบัวก็ยังรักษาวัฒนธรรมที่ยังเป็นเอกรักษ์เฉพาะของตนเองอยู่ เช่น การทอผ้าลายน้ำไหล ภาษาพูดแลความเชื่อในแบบแผนดำรงชีวิตอย่างเหนียวแน่น ดังนั้นบ้านหนองบัวจึ่งกายเป็นรู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศ

บรรนานุกรม

สมใจ แซ่โง้ว และวีระพงค์ มิสะถาน (2541) สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลื้อ สหธรรมิก
กรุงเทพฯ
นิยพรรณ(ผสวัฒนะ) วรรณศิริ (2550) มนุษย์วิทยาสังคม และวัฒนธรรม เอ็กซเปอเน็ท
กรุงเทพฯ
http://www.oceansmile.com/N/Nan/NANm2.htm
http://th.wikipedia.org/wiki/ 23/3/2010 10:17
http://maps.google.co.th/maps/place?hl 3/4/2010 10: 58
ผู้ให้สัมภาษณ์ พ่อพัด เทพเสน ผู้อาวุโส ให้สัมภาษณ์ ครั้งวันที่ 18 มีนายน 2553
นายแทน เทพเสน ผู้ใหญ่บ้าน ให้สัมภาษณ์ ครั้งวันที่ 18 มีนายน 2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น