วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ການສະແດງສີລະປະນາໆຊາດ(SIFF 5th)

เทศกาลงานแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ณ จังหวัดสุรินทร์ ครั้งที่ 5 14-24/1/2010 หลักการ เหตุผล ความจำเป็น ศิลปวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นแต่ละภูมิภาคของโลกย่อมมีความแตกต่างหลากหลาย อันเนื่องมาจากลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ วิถีการดำรงชีวิต ภาษา และขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีที่ผิดแผกแตกต่างกัน ทำให้งานศิลปกรรมที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในแต่ละพื้นที่ของโลกมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ไม่ว่าจะเป็นงานด้านทัศนศิลป์ ดุริยางคศิลป์ นาฏศิลป์หรือศิลปะการแสดงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ศิลปะการแสดงพื้นบ้านเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันงดงามที่นอกจากจะแสดงความเป็นอารยะของนานาประเทศแล้ว การที่ศิลปะการแสดงพื้นบ้านมีลักษณะที่เรียบง่ายแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น แต่ละยุคสมัย การแสดงพื้นบ้านจึงมิใช่กิจกรรมที่มีขึ้นเพียงเพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจเท่านั้น หากยังเป็นสิ่งซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมและวัฒนธรรมในยุคสมัยและพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก เป็นจดหมายเหตุให้คนรุ่นใหม่ในต่างสังคมและวัฒนธรรมได้ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้สภาพสังคมวัฒนธรรมของเพื่อนร่วมโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม ศิลปะพื้นบ้านจึงถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น เป็นความภูมิใจและเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนและต่อสายตาชาวโลก มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ในฐานะที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น และให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมมาโดยตลอด ได้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องบำรุงรักษาและส่งเสริมเผยแพร่เอกลักษณ์ของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและร่วมมือกันส่งเสริมสนับสนุนทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ จึงได้ริเริ่มจัดเทศกาลการแสดงศิลปะพื้นบ้านครั้งแรกขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2549 ณ จังหวัดสุรินทร์ โดยกำหนดวัตถุประสงค์ประการแรกเพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายวิชาการด้านศิลปะ ดนตรี และนาฏศิลป์พื้นบ้านจากทั่วทุกมุมโลก ประการที่สองเพื่อพัฒนาศาสตร์ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล และประการที่สามเพื่อส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้ด้านวิชาการใหม่ ๆ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาอันลุ่มลึกในศิลปะพื้นบ้านแขนงต่าง ๆ ของศิลปินและนักวิชาการด้านศิลปะและภูมิปัญญาพื้นบ้าน การจัดงานเทศกาลการแสดงศิลปะพื้นบ้านนานาชาติ ครั้งที่ 1 (The first Surin International Folklore Festival : SIFF I) นี้ ได้จัดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 15-25 มกราคม พ.ศ. 2549 โดยมีศิลปินจาก 8 ประเทศ จำนวนกว่า 200 คน เข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ ออสเตรีย อิสราเอล ฟิลิปปินส์ กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม จีน และประเทศไทย โดยในงานเทศกาลได้จัดให้มีกิจกรรมหลัก 3 ประการ คือ การแสดงศิลปะพื้นบ้าน การสัมมนาทางวิชาการ และการบรรเลงเพลงเพื่อสันติภาพ ณ ปราสาทศีขรภูมิ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ครั้งที่ 2 ได้จัดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 18-25 มกราคม พ.ศ. 2550 ณ จังหวัดสุรินทร์ การจัดงานครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประเทศต่าง ๆ ส่งศิลปินนักแสดงและนักวิชาการเข้าร่วมในเทศกาลเพิ่มขึ้นเป็น 10 ประเทศ โดยมีประเทศที่เป็นสมาชิกใหม่ ได้แก่ ประเทศอิตาลี และประเทศแคเมอรูน มีนักแสดงและนักวิชาการจากทั่วโลกเข้าร่วมงานมากกว่า 300 คน การจัดงานประกอบด้วยการแสดงศิลปะพื้นบ้านบนเวที การสัมมนาทางวิชาการ และการแสดงแบบผ้านานาชาติ ครั้งที่ 3-4 ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-25 มกราคม พ.ศ. 2551 และ 14-24 มกราคม พ.ศ. 2552 ณ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดมหาสารคามและจังหวัดศรีษะเกษ และได้รับความสนใจจากประเทศต่าง ๆ ส่งศิลปินนักแสดงและนักวิชาการเข้าร่วมในเทศกาลเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีประเทศที่เป็นสมาชิกใหม่ ได้แก่ ศรีลังกา ลิทัวเนีย ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย เกาหลี อินเดีย และพม่า การจัดงานครั้งนี้มีการปรับปรุงรูปแบบการจัดการแสดงให้เหมาะสมขึ้น แต่ยังคงกิจกรรมทางวิชาการในการแสดงแบบผ้านานาชาติและการสัมมนาทางวิชาการไว้ ซึ่งการที่ประเทศต่าง ๆ ได้ส่งศิลปินเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมถึงผลสำเร็จในการสร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรมในระดับนานาชาติที่ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ครั้งที่ 5 ขึ้นในระหว่างวันที่ 14-24 มกราคม พ.ศ. 2553 เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายทั้งในด้านวิชาการและศิลปะการแสดงให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้างมากขึ้น โดยในงานเทศกาลครั้งนี้ มีกิจกรรมย่อยที่จะต้องดำเนินการรวม 4 กิจกรรม ได้แก่ การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ครั้งที่ 5 (SIFF 5) การประชุมสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติ การแสดงแบบผ้าพื้นบ้านนานาชาติ และการบรรเลงเพลงและสุนทรพจน์เพื่อสันติภาพ ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่างานเทศกาลการแสดงศิลปะพื้นบ้านนานาชาติครั้งที่ 5 นี้ โดยมีประเทศที่เข้าร่วม 15 ประเทศได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม พม่า จีน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา อินเดีย ประเทศอิตาลี อิสราเอล ลิทัวเนีย ฟินแลนด์ ตุรกี อาเมริกา และประเทศไทย มีนักแสดงเข้าร่วมประมาน 200 คน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายวิชาการด้านศิลปะ ดนตรี และนาฏศิลป์พื้นบ้านจากทั่วทุกมุมโลก 2. เพื่อพัฒนาศาสตร์ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล 3. เพื่อส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้ด้านวิชาการใหม่ ๆ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาอันลุ่มลึกในศิลปะ พื้นบ้านแขนงต่าง ๆ ของศิลปินและนักวิชาการด้านศิลปะและภูมิปัญญาพื้นบ้าน กิจกรรมที่ดำเนินการ โครงการเทศกาลงานแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ณ จังหวัดสุรินทร์ ครั้งที่ 5 มีกิจกรรมย่อยที่จะต้องดำเนินการรวม 4 กิจกรรม ดังนี้ 1. กิจกรรม “การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ครั้งที่ 5 (SIFF 5)” 2. กิจกรรม “การประชุมสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติ” 3. กิจกรรม “การแสดงแบบผ้าพื้นบ้านนานาชาติ” 4. กิจกรรม “การบรรเลงเพลงและสุนทรพจน์เพื่อสันติภาพ” สาธารณะรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณะรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาวก็ได้นำทิมงานนักแสดงเข้าร่วมเทศกาลงานแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ณ จังหวัดสุรินทร์ ครั้งที่ 5 ดังนี้ สาธารณะรัฐสังคมนิยมเวียดนาม อารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในเวียดนามมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะอารยธรรมยุคหินใหม่ ที่มีหลักฐานคือกลองมโหระทึกสำริด และชุมชนโบราณที่ดงเซิน เขตเมืองแทงหวา ทางใต้ของปากแม่น้ำแดง สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของชาวเวียดนามโบราณผสมผสานระหว่างชนเผ่ามองโกลอยด์เหนือจากจีนและใต้ ซึ่งเป็นชาวทะเล ดำรงชีพด้วยการปลูกข้าวแบบนาดำและจับปลา และอยู่กันเป็นเผ่า บันทึกประวัติศาสตร์ยุคหลังของเวียดนามเรียกยุคนี้ว่าอาณาจักรวันลาง มีผู้นำปกครองสืบต่อกันหลายร้อยปีเรียกว่า กษัตริย์หุ่ง แต่ถือเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์ เวียดนามเริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์หลังชนเผ่าถุก จากตอนใต้ของจีนเข้ารุกรานและยึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำแดง จากนั้นไม่นานจักรพรรดิจิ๋นซ๊ซึ่งเริ่มรวมดินแดนจีนสร้างจักรวรรดิหนึ่งเดียว ได้ยกทัพลงมาและทำลายอาณาจักรของพวกถุกได้ ก่อนผนวกดินแดนลุ่มแม่น้ำแดงทั้งหมด ให้ขึ้นตรงต่อศูนย์กลางการปกครองหนานไห่ ที่เมืองพานอวี่หรือกว่างโจวในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน หลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน ข้าหลวงหนานไห่คือจ้าวถัว ประกาศตั้งหนานไห่เป็นอาณาจักรอิสระ ชื่อว่า หนานเยว่ หรือนามเหวียต ในสำเนียงเวียดนามซึ่งเป็นที่มาของชื่อเวียดนามในปัจจุบัน ก่อน กองทัพฮั่นเข้ายึดอาณาจักรนามเหวียด ได้ในปี พ.ศ. 585 และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจีน ใช้ชื่อว่าเจียวจื้อ ขยายอาณาเขตลงใต้ถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน และส่งข้าหลวงปกครองระดับสูงมาประจำ เป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนนำวัฒนธรรมจีนทางด้านต่างๆ ไปเผยแพร่ที่ดินแดนแห่งนี้ พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทรัพยากรจากชาวพื้นเมืองหรือชาวเวียดนามจนนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรง การกู้เอกราชและก่อตั้งราชวงศ์เล (ยุคหลัง) พ.ศ. 1971-2331 พ.ศ. 1961 เล่เหล่ย ชาวเมืองแทงหวา ทางใต้ของฮานอย ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งตนขึ้นเป็นผู้นำ ขับไล่จีนออกจากเวียดนามได้สำเร็จ พ.ศ. 1971 เลเหล่ยขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ สถาปนาราชวงศ์เลขึ้น มีราชธานีที่ฮานอยหรือทังลองและราชธานีอีกแห่งคือที่เมืองแทงหวา (ทันห์ว้า) หรือ ราชธานีตะวันตก ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของเลเหล่ยและตระกูลเล ต่อมาเลเหล่ยได้รับการถวายพระนามว่า เลไถโต๋ ราชวงศ์เลช่วงแรกเป็นช่วงสร้างความมั่นคงและฟื้นฟูประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะในสมัยเลไถโต๋หรือเลเหล่ย เช่นการสร้างระบบราชการ จัดสอบคัดเลือกขุนนาง ตรากฎหมายใหม่ แบ่งเขตการปกครองใหม่ ฟื้นฟูการเกษตร รวมถึงการสถาปนาความสัม พันธ์ทางการทูตกับจีนทำให้เวียดนามเข้าสู่ยุคสงบสุขปลอดจากสงครามอีกครั้งหลังสมัยเลเหล่ย เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างขุนนางพลเรือนกับบรรดาขุนศึกที่ร่วมทัพกับเลเหล่ยในการสู้รบกับจีน ความขัดแย้งบานปลายจนนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่ข้าราชสำนัก จนเกิดการรัฐประหารครั้งแรกของราชวงศ์เลในพ.ศ. 2002 มีการประหารพระชนนีและจักรพรรดิขณะนั้น ต่อมาบรรดาขุนนางจึงสนับสนุนให้ราชนิกูลอีกพระองค์หนึ่งมาเป็นจักรพรรดิแทน ต่อมาคือจักรพรรดิเลแถงตง (พ.ศ. 2003-2040) รัชกาลจักรพรรดิเลแถงตงถือว่ายาวนานและรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเวียดนาม มีการปฏิรูปประเทสหลายด้านโดยยึดรูปแบบจีนมากกว่าเดิม ทั้งระบบการสอบรับราชการที่จัดสอบครบสามระดับตั้งแต่อำเภอจนถึงราชธานี จำนวนขุนนางเพิ่มขึ้นทวีคูณและทำให้ระบบราชการขยายตัวมากกว่ายุคสมัยก่อนหน้า นอกจากนั้นยังมีการประมวลกฎหมายใหม่พระองค์ทรงสร้างเวียดนามให้เป็นมหาอำนาจและเป็นศูนย์กลางด้วยการทำสงครามกับเพื่อนบ้านที่มักขัดแย้งกับเวียดนามคือจัมปาและลาว อิทธิพลของเวียดนามรับรู้ไปจนถึงหัวเมืองเผ่าไทในจีนตอนใต้และล้านนา หลังรัชกาลนี้ราชวงศ์เลเริ่มประสบปัญหาความขัดแย้งในหมู่ขุนนาง เชื้อพระวงศ์ ปัญหาเศรษฐกิจจนที่สุดก็ถูกรัฐประหารโดยขุนศึกหมักดังซุง ในพ.ศ. 2071 เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์เลหลบหนีด้วยการช่วยเหลือของขุนศึกตระกูลเหงวียนและจิ่ง ที่มีอิทธิพลในราชสำนักมาแต่แรกราชวงศ์เลเริ่มการฟื้นฟูกอบกู้อำนาจคืนโดยมีแม่ทัพเป็นคนตระกูลเหงวียนและจิ่ง ทำสงครามกับราชวงศ์หมักจนถึงพ.ศ. 2136 จึงสามารถยึดเมืองทังลองคืนได้และฟื้นฟูราชวงศ์เลปกครองเวียดนามต่อไปยุคแตกแยกเหนือ-ใต้ • หลังการฟื้นฟูราชวงศ์เลขึ้นได้ ขุนศึกตระกูลจิ่งตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการ และบีบให้ขุนศึกตระกูล เหงวียนไปปกครองเขตชายแดนใต้บริเวณเมืองด่งเหยลงไปถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน ขุนศึกตระกูลจิ่งตั้งตนเป็น "เจ้า" สืบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการในตระกูลของตนเอง ขุนศึกตระกูลเหงวียนจึงประกาศไม่ยอมรับการปกครองของตระกูลจิ่งจนเกิดสงครามครั้งใหม่ต่อมาอีกหลายสิบปี เวียดนามแบ่งแยกเป็นสองส่วน ส่วนเหนืออยู่ในการปกครองของราชวงศ์เลและเจ้าตระกูลจิ่ง มีศูนย์กลางที่ทังลอง ส่วนใต้ตระกูลเหงวียนปกครอง มีศุนย์กลางที่เมืองฝูซวนหรือเว้ ในปัจจุบัน ยุคเตยเซิน • พ.ศ. 2316 เกิดกบฎนำโดยชาวนาสามพี่น้องที่หมู่บ้านเตยเซินขึ้นในเขตเมืองบิ่งดิ่ง เขตปกครองของ ตระกูลเหงวียน และสามารถยึดเมืองฝูซวนได้ เชื้อสายตระกูลเหงวียนหลบหนีลงใต้ออกจากเวียดนามไปจนถึงกรุงเทพ ฯ ก่อนกลับมารวบรวมกำลังเอาชนะพวกเตยเซินได้ องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือเหงวียนฟุกอ๊าน ผู้นำตระกูลเหงวียน ซึ่งตั้งตนเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งราชวงศ์เหงวียน ในพ.ศ. 2345 สถาปนาราชธานีใหม่ที่เมืองเว้ แทนที่ทังลอง ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ฮานอย • ราชวงศ์เหงวียน (พ.ศ. 2345-2488) องค์ชายเหงวียนแอ๋งหรือจักรพรรดิยาลอง จักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์เหงวียนเริ่มฟื้นฟูประเทศ เวียดนามมีอาณาเขตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ดินแดนภาคใต้ขยายไปถึงปากแม่น้ำโขงและชายฝั่งอ่าวไทย ทรงรักษาสัมพันธ์กับชาวตะวันตกโดยเฉพาะฝรั่งเศสที่ช่วยรบกับพวกเตยเซิน นายช่างฝรั่งเศสช่วยออกแบบพระราชวังที่เว้และป้อมปราการเมืองไซ่ง่อน ราชวงศ์เหงวียนรุ่งเรืองที่สุดในสมัยจักรพรรดิมินหมั่ง จักรพรรดิองค์ที่สอง ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ด่ายนาม ขยายแสนานุภาพไปยังลาวและกัมพูชา ผนวกกัมพูชาฝั่งตะวันออก ทำสงครามกับสยามต่อเนื่องเกือบยี่สิบปี แต่ภายหลังต้องถอนตัวจากกัมพูชาหลังถูกชาวกัมพูชาต่อต้านอย่างรุนแรง สมัยนี้เวียดนามเริ่มใช้นโยบายต่อต้านการเผยแพร่คริสต์ศาสนาของบาทหลวงชาวตะวันตก มีการจับกุมและประหารบาทหลวงชาวตะวันตกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงชาวเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา จนถึงรัชกาลจักรพรรดิองค์ที่ 4 คือจักรพรรดิตึดึ๊ก ทรงต่อต้านชาวคริสต์อย่างรุนแรงต่อไป จนในที่สุดบาทหลวงชาวฝรั่งเศสขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของตนให้ช่วยคุ้มครอง พ.ศ. 2401 เรือรบฝรั่งเศสเข้ามาถึงน่านน้ำเมืองดานัง (หรือตูราน) ฐานทัพเรือใกล้เมืองหลวงเว้ นำไปสู่การสู้รบกันของทั้งฝ่าย ต่อมากองกำลังฝรั่งเศสบุกโจมตีดินแดนภาคใต้ จักรพรรดิตึดึ๊กยอมสงบศึกและมอบดินแดนภาคใต้ให้แก่ฝรั่งเศส ชาวเวียดนามเริ่มต่อต้านการยึดครองของฝรั่งเศสแต่ไม่อาจต่อสู้กับแสนยานุภาพที่เหนือกว่าได้ ฝรั่งเศสจึงเข้าควบคุมเวียดนามอย่างจริงจังมากขึ้นและแบ่งเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คืออาณานิคมโคชินจีน ในภาคใต้ เขตอารักขาอันนาม ในตอนกลางและเขตอารักขาตังเกี๋ยในภาคเหนือ เวียดนามยังมีจักรพรรดิเช่นเดิมแต่ต้องผ่านการร่วมคัดเลือกโดยข้าหลวงฝรั่งเศสและมีฐานะเป็นสัญลักษณ์ อำนาจในการบริหารการคลัง การทหารและการทูตสูงสุดเป็นของฝรั่งเศส ถือว่าเวียดนามสิ้นสุดฐานะเอกราชนับแต่นั้น ยุคอาณานิคม ฝรั่งเศสแสวงหาผลประโยชน์จากการปกครองเวียดนามทางด้านเศรษฐกิจ เวียดนามเป็นแหล่งปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่นกาแฟ และยางพารา ส่งออกไปยังฝรั่งเศสและเป็นวัตถุดิบแก่โรงงานในฝรั่งเศส ที่ดินในเวียดนามตกเป็นของชาวฝรั่งเศสจำนวนมาก ชาวฝรั่งเศสเริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเวียดนาม ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศสให้แพร่หลายในเวียดนาม ชาวเวียดนามส่วนหนึ่งได้รับการศึกษาแบบใหม่และเริ่มต้องการอิสระในการทำงานและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มชาตินิยมต่าง ๆ ที่เข้มแข็งที่สุดคือพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนที่ตั้งขึ้นโดยโฮจิมินห์ ในปี 2473 และต่อมาปรับเปลี่ยนเป็น กลุ่มเวียดมินห์ ได้นำชาวนาก่อการต่อต้านฝรั่งเศสในชนบท ยุคเอกราช พ.ศ. 2488 โฮจิมินห์รับมอบอำนาจจากจักรพรรดิบ๋าวได่และรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก แต่หลังจากนั้นฝรั่งเศส กลับเข้ามาขับไล่รัฐบาลของโฮจิมินห์และไม่ยอมรับเอกราชของเวียดนาม นำไปสู่สงครามจนในที่สุดฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่กองกำลังเวียดมินห์ที่ค่ายเดียนเบียนฟู ในปี 2497 และมีการทำสนธิสัญญาเจนีวา ยอมรับเอกราชของเวียดนาม แต่สหรัฐอเมริกาและชาวเวียดนามในภาคใต้บางส่วนไม่ต้องการรวมตัวกับรัฐบาลของโฮจิมินห์ ต่อมาได้ก่อตั้งดินแดนเวียดนามภาคใต้เป็นอีกประเทศหนึ่ง คือ สาธารณรัฐเวียดนาม หรือเวียดนามใต้ มีเมืองหลวงคือ ไซ่ง่อน ใช้เส้นละติจูดที่ 17 องศาเหนือแบ่งแยกกับเวียดนามส่วนเหนือใต้การปกครองของโฮจิมินห์ (เวียดนามเหนือ) สงครามเวียดนาม เวียดนามเหนือไม่ยอมรับสถานภาพของเวียดนามใต้ ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ให้การช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งทหารมาประจำในเวียดนามใต้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เวียดนามเหนือประกาศทำสงครามเพื่อขับไล่และ "ปลดปล่อย" เวียดนามใต้จากสหรัฐอเมริกาและรวมเข้าเป็นประเทศเดียวกัน พร้อมให้การสนับสนุนกลุ่มชาวเวียดนามใต้ที่ต่อต้านสหรัฐอเมริกา (เวียดกง) ในการทำสงคราม การรบส่วนใหญ่กลายเป็นการรบระหว่างทหารอเมริกันและพันธมิตรจากต่างประเทศ กับกองกำลังเวียดกงและเวียดนามเหนือ ทั้งในชนบทและการโจมตีในเมือง แม้สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเทแสนยานุภาพอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่อาจทำให่สงครามยุติลงได้ หลังการรุกโจมตีครั้งใหญ่ของเวียดนามเหนือและเวียดกงในปี 2511 ที่เมืองเว้ และเมืองหลักอื่น ๆ ในเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาเริ่มเตรียมการถอนกำลังจากเวียดนามใต้และให้เวียดนามใต้ทำสงครามโดยลำพัง สหรัฐอเมริกาถอนทหารจากเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการในปี 2516 กองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกงจึงสามารถรุกเข้ายึดไซ่ง่อนและเวียดนามใต้ได้ทั้งหมดในปี 2518 การรวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันเกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม 2519 และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม นับแต่นั้น การเมือง 1. การเมืองของเวียดนามมีเสถียรภาพ เนื่องจากมีพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นองค์กรที่มีอำนาจ สูงสุด เพียงพรรคการเมืองเดียว ผูกขาดการชี้นำภายใต้ระบบผู้นำร่วม (collective leadership) การบริหารประเทศ แบ่งเป็น สามฝ่าย คือ - ฝ่ายบริหาร มีหน้าที่บริหาร และพัฒนาประเทศชาติให้มีความจะเลีนรุ่งเรือง - ฝ่ายนิติบรรญัติ มีหน้าที่ตรวจสอบ และออกกฏหมายเพื่อสอดคร้องกับการพัฒนาประเทศ - ฝ่ายตุราการที่ปะกรอบด้วยสาน และไอยการ มีหน้าที่ตรวจสอบ สืบสวนสอบสวน การปฎิบัติคำตัดสิน ของสานเพื่อให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ประเทศเวียดนามแบ่งเขตการปกครองเป็น 59 จังหวัด (tỉnh: ติ้ญ) และ 5 เทศบาลนคร* (thủ đô: ทู่โด) เศรษฐกิจ เกษตรกรรมมีผลผลิตได้แก่ ข้าวเจ้า ยางพารา ชา กาแฟ ยาสูบ พริกไทย (2006 ส่งออกกว่า 116,000 ตัน [2]) การประมง เวียดนามจับปลาได้เป็นอันดับ 4 ของสินค้าส่งออก เช่น ปลาหมึก กุ้ง ตลาดที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์ อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมทอผ้า ศูนย์กลางอยู่ที่โฮจิมินห์ซิตีและมีนิคมอุตสาหกรรม อมตะซิตี้เบียนโฮ[3] การทำเหมืองแร่ที่สำคัญ คือ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ เวียดนามเป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถัดจากอินโดนีเซียกับมาเลเซีย [4] มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประชากร มีจำนวน 84.23 ล้านคน ความหนาแน่นโดยเฉลี่ย 253 คน : ตารางกิโลเมตร เวียด 80% เขมร 10 % (บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศ) ต่าย 1.9% ไท 1.74% เหมื่อง 1.49% ฮั้ว (จีน) 1.13% นุง 1.12% ม้ง 1.03% ศิลปวัฒนธรรมประเทศเวียดนาม ด้านศิลปวัฒนธรรมของเวียดนาม มีความแตกต่างกับศิลปวัฒนธรรมของไทยอย่างมาก ที่เป็น อย่างนี้เป็นเพราะเวียดนามถูกปกครองโดยประเทศจีนมาหลายครั้งหลายหน จนอาจเรียกได้ว่า อารยธรรม วัฒนธรรม ของเวียดนาม คือ วัฒนธรรมของประเทศจีน นั่นเอง โดยเฉพาะทางด้านศิลปของโบราณสถาน ต่าง ๆ อาทิ พระราชวัง วัด สุสาน ฯลฯ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันจนไม่สามารถแยกออกให้เห็นอย่าง เด่นชัด แม้ในช่วงหลังมานี้ เวียดนามอาจได้รับอิทธิพลจากประเทศฝรั่งเศล และญี่ปุ่นอยู่บ้าง แต่ใน ภาพรวมแล้วจะคล้ายคลึงกับประเทศจีน และมีหลักฐานให้เห็นอยู่ทั่วไปบริเวณสองข้างทางที่พวกเราผ่านไป เกือบทุกถนน ดังที่เราได้เห็นในงาน SIFF 5th ที่นักแสดงมาแบ่งเป็น สอง กลุ่ม คือ มหาวิทยาลัยบินเยื่อง (Binh Duong University) และ โฮจิมิ่นชีตี ( Information of CKT group-The university of Social Science & Humanities, Ho chi Minh city) สามารถสรูปดังนี้ กลุ่มที่ 1 มหาวิทยาลัยบินเยื่อง (Binh Duong University) ได้มีนักแสดงและผู้นำเข้าร่วมงานครั้งนี้ มีทั้งหมด 26 คน ที่เดินทางด้วยเครื่องบินจากเวียดนามถึงสนามบินสุวรรณภูมิจากนั้นก็นั่งรดจากสนามบินถิงมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ รายการแสดงมี คือ - QUAN HO DANCING (North Vietnam) - COURT DANCING (Central Vietnam) - TRAY DACNING (South Vietnam) - THAILAND DANCING กำเนิด ของ กลุ่ม ชาติพันธุ์ ใน กระบวนการ ของ การ รวม กลุ่ม จะมีความสำคัญที่สุดในการรักษาวัฒนธรรม และความเชื้อ โดยเฉพาะเยาวชนจะได้เรียนรู้รากฐานทางวัฒนธรรมของชาติ และชาติพันธุ์ ผ่านมาเป็นธรรมชาติ ระเบียบ ตรรกะ และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน (ชัดทั้งหมด ไม่ใช้ต่าง ประเทศ) วางวิธีการที่เราจะต้องทำเพื่อทุก ๆ คนให้รู้ที่มาของพวกเขา พวกเรา ให้ยั้งยืน เพราะว่า เมื่อพวกเราประสมประสาน ไม่แตกแยกกัน พวกเราก็จะรับรู้ที่มาของเราอย่างจะแจ้งว่าพวกเราเป็นไครมาจากใส 1. Dance : Discover ศิลปะพื้นบ้านมีความสำคัญที่สุดของกลุ่มชาติพันธ์วรรนา (Folk art is an important of ethnic origin) 2. Dance : Love Duets of Bac Ninh (Northern Vietnam) ในวันที่ 30 กันยายน 2552 เวลา 7:55 นาที (เวลาในเวียดนาม) ตัวแทนขององค์การอยูเน็ตโกได้ ประกาดว่า "Love Duets of Bac Ninh" เป็นวัฒนธรรมตัวแทน อ รูปแบบดั้งเดิมของคนทั้งหมด (At 7: 55 pm on September 30th 2009, UNESCO proclaimed "Love Duets of Bac Ninh" an immaterial culture legacy representative of all people) 3. Dance : climb the of Hue Palace (central Vietnam) บดเพงของพราชวังสมัยสักดินาที่เคยรับใช้เสรีมสหรองการขึ้นครองราชย์พระมหากระสัต และ งานสำคัญต่าง ๆ ของแต่ระปี ซึ่งมีความแตกต่างจากบทเพงของครอบกระสัตราชวงNguyen family of Vietnam ซึ่งตัวแทนขององค์การอยูเน็ตโกได้รับรองเป็นบทเพงเป็นผลงานชิ้นเอกของคนทั้งหมดในปี 2003 4. Dance : Gold Tray (Southern of Vietnam) ในวันที่หนึ่งขึ้นปีใหม่ตามประติทินล้านนา ชาวชนนะบททางภาคใต้เวียดนามในระดูเก็บเกี่ยวที่สำ เร็ดแล้วก็ได้นำผลผลิดมาทำอาหารเพื่อเช่นผีฟ้าผีแถน และผีบรรพระบูรุติให้รงมาคลุ้มครองให้พวกเด็กอยู่เย็นเป็นสุข ในการสลองปีใหม่ และสุดท้ายก็ได้เชินพ่อแม่ และเพื่อนฝุ่งมาดื่มและกินอย่างเบิกบานมาวนชึ่นในการต้อนรับระดูใบไม้ผลิด 5. Dance : Thailand พวกเราเป็นชาติหนึ่งที่อยู่เอเชียตะวันออกเสี่ยงใต้ที่มีวัฒนธรรมหลากหลายคล้ายคลึ่งกันของ ชาติวรรนามาเป็นเวลาช้านานที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง กลุ่มที่ 2 โฮจิมิ่นชีตี (Information of CKT group-The university of Social Science & Humanities, Ho chi Minh city) ได้มีนักแสดงและผู้นำเข้าร่วมงานครั้งนี้ มีทั้งหมด 17 คน ที่เดินทางด้วยรดบาสจากเวียดนามถึงพะนมป็นราชอนาจักกัมพูชา จากนั้นก็นั่งรดมาถิงชายแดนไทย กัมพูชาทางมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ไปรับอยู่ที่นั้น รายการแสดงมี คือ 1. Vietnamese Flower Dancing : ดอกบัวซึ่งเป็นสัญญารักษ์ดอกไม้ประจำชาติของชาวเวียดนาม ที่มีมานานแสนนาน 2. Tay Dancing : Tay แม่นชนเผ่าหนึ่งที่อาสัยอยู่ทางทิดตะวันตกของเวียดนามที่มี ศิลปะวัฒน ธรรมเป็นเอกลักษ์เฉพาะ (Tay is a kind of ethnic group at western north of Vietnam) 3. Da Co Hoai Lang Dancing : สำหรับการแสดงนี้เป็นการแสดงเกี่ยวกับความชื่อสัดของภรรยา ที่รอคลอยสามีกับมาจากสนามรบ เป็นบทเพงพื้นบ้านทางทิศตะวันตกเสี่ยงใต้ของเวียดนาม (This performance is about loyalty of a wife waiting for her husband fighting at the battlefield, western south folksong of Vietnam) 4. Cong Chieng Dancing : โดยเฉพาะเป็นเครื่องดนตรีทางภาคกลางของเวียดนาม และ Cong Chieng เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่นา นา ชาติยอมรับอิกด้วย (special instruments of the middle highland of Vietnam. Cong Chieng was recognized as an international cultural heritage) 5. Nang Co Con Xuan Singing : บดเพงทางภาคเหนือของเวียดนามเกี่ยวกับระดูใบไม้ผริตใน เวียดนาม (a song of north Vietnam about the spring in Vietnam) 6. Con Co Singing :บดเพงเกี่ยวกับความรักของผู้เป็นแม่ที่มีต่อพวกลูก (a song about mothers deep love for her children) 7. พิธีการแต่งงานของเวียดนาม (Vietnam Wedding Ceremony) การแต่งงานของชาวเวียดนาม ไม่เฉพาะแต่ครู่บ่าวสาวเท่านั้น แต่ยังจะต้องมีครอบครัวของครู่ บ่าวสาวอิกด้วย ปกกระติแล้วการปฎิบัติตามประเพณีนั้นข้อนข้างไม่มีมากหนัก ปกกระติวันแต่งงานพ่อแม่ของครู่บ่าวสาวจะเลือกเอาวันเสา และวันอาทิต พวกเขาเชื่อว่าเป็นวันมงคุณ แต่การแต่งงานของชนเผ่านั้นอาดมีความแตกต่างกันไป แต่ทั่วไปแล้วการแต่งงานจะมีสอง ขั้นตอน คือ การหมั้หมาย (Betrothal Ceremony) และพิธีการแต่งงาน (Wedding Ceremony) วิธีการแต่งงานของเวียดนาม (The manners of Vietnam Wedding Ceremony) ประการแรกเจ้าบ่าว และครอบครัวจะไปเยี้ยมเจ้าสาวและครอบครัวก่อนการแต่งงานทาง ครอบครัวเจ้าบ่าวตามธรรมเนียมจะนำชุดน้ำชาไปพร้อม และก็ได้รับต้อนจากครอบครัวเจ้าสาว จากนั้นครอบครัวเจ้าบ่าวก็ได้แนะนำและชักถามยินยอมจะแต่งงานกับเจ้าสาวของเราการแต่งงานได้เรี้มขึ้นซึ่งผู้อาวุโส(หมอพร)ก็ได้ให้คำชี้แนะครู่สร้างครอบครัวใหม่ พ่อแม่ และยาติพี่น้องก็ได้ให้คำชี้แนะเช่นกันเพื่อให้เกิดศิริมงคุณครู่สมรส ต่อมาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็ได้แรกเปลี่ยนแหวนแต่งงานกัน แม่ของเจ้าบ่าวก็ได้ให้ของขวัญเช่นกันที่เป็นทองคำ เช่น จะเป็น แหวนข้อมือ ส้อยแขวน คอ หรือ ตุ้มหู หลังจากสัดพิธีแต่งงานอยู่บ้านเจ้าสาวแล้ว เจ้าสาวก็ตามกับไปที่บ้านเจ้าบ่าวด้วยการนั่งรดม้า แต่ปัจจุบันด้วยรดยน ทุกวันนี้ชาวเวียดนามส่วนมากนิยมไปแต่งงานอยู่ตามวัด หรือโบสตามรูปแบบชาวอาเมริกัน และแบบชาวตะวันตกในตอนเช้า ตกตอนเย็นครอบครัวเจ้าบ่าว เจ้าสาวเชินแขกไปรับประทานอาหาร และดื่มเพื่อเป็นศิริมงคุณแก่ครู่สร้างครอบครัวใหม่ และแขกก็จะให้กลอ่งของขวัญ และเงินแก่ครู่สมรสใหม่ นั้นเป็นวันที่รอคอยน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขา สรูปรวมแล้วศิลปะพื้นบ้านของสังคมนิยมเวียดเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะที่แสดงถึงความโดดเด่นอันรากหลายทางวัฒนธรรม เช่น การแต่งกาย และการรักษาวัฒนธรรมทางการแต่งกายยังคงอยู่ และการแสดงศิลปะยังปกฏให้เห็นถึงวิถีชีวิตของแต่ระชนเผ่าทุกภูมิภาค ดังที่เราได้ดูการแสดงในงาน siff มีทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้แต่ศิลปะส่วนมากจะคล้ายคลึ่งกับวัฒนธรรมจีนเพราะว่าเวียดนามได้รับอิดทิพลจากการเป็นหัวเมืองขึ้นของจีนนั้นเอง วัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น สิ่งก่อสร้าง รูปทรงและศิลป์การตกแต่งนับตั้งแต่ตึกรามบ้านช่องของคนเวียดนามยังคงมีรูปลักษณ์ของจีนอยู่มากแต่บางพื้นที่ก็มีศิลป์ของฝรั่งเศส หรือ ญี่ปุ่น อยู่อย่างกลมกลืน แต่เท่านี้สิ่งสังเกตศิลป์ของเวียดนามจากสถานที่สำคัญๆ แม้จะเป็นศิลป์วัฒนธรรมของจีนแต่ในส่วนที่เป็นการตกแต่งดูจะมีความอ่อนไหวกว่าเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็มองเหมือนศิลป์จีนชัดเจน ศิลปพื้นบ้าน สาธารณะรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว สาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่ประกรอบด้วย 3 ชนเผ่าใหญ่ มี 49 เผ่าชน ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแต่ระชนเผ่าที่เป็นเอกลักษ์ที่ประกฏออกในวิถีชีวิตของประชาชนลาวบรรดาเผ่าตามแต่ระโขงเขต และท้องถิ่นแตกต่างกันไป ศาสนาพุทธนับเป็นแบบแผนหลักของวัฒนธรรมลาว ซึ่งปรากฏให้เห็นทั่วประเทศ ทั้งในด้านภาษา และศิลปะ วรรณคดี ศิลปะการแสดง ฯลฯ สำหรับดนตรีลาวนั้นยังมีอิทธิพลของแคน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติ วงดนตรีของลาวก็คือวงหมอลำ มีหมอลำ และหมอแคน ท่วงทำนองของการขับลำจะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ทางภาคเหนือเรียกว่าขับ ภาคใต้จากบอลิคำไซลงไปเรียกว่าลำ เช่น ขับงึมเวียงจันทน์ ขับพวนเซียงขวง ลำสาละวันของแขวงสาละวัน ลำภูไท ลำตังหวาย ลำคอนสะหวัน ลำบ้านซอกของแขวงสะหวันนะเขต ขับโสม ลำสีพันดอนของแขวงจำปาสัก ลำมะหาไซของแขวงคำม่วน ขับทุ่มของแขวงหลวงพระบาง ขับลื้อของชาวลื้อ เป็นต้น การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างหนึ่งของลาวคือผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่น (ผ้าถุง) อาหารของคนลาว ลาวจะทานข้าวเหนียวเป็นหลัก อาหารที่เป็นเอกลักษณ์คือ แจ่วปลาล้า ส้มตำ ไก่ย่าง เป็นต้น การแสดงศิลปะวํฒนธรรมจากวิทยาลัยครูหลวงพระบาง สาธารณะรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาวในครั้งนี้ รายการแสดงมีคือ 1. Dancing : หลวงพระบางเมืองงาม (Luangprabang Meuang Ngam) เมืองหลวงพระบางเป็นนครหลวงเก่าแก่ของประเทศลาว ซึ่งปีใหม่ลาวในระหว่าง 13-16 เม สายน แต่ละปีได้มีประเพณีต่าง ๆ นั้นก็คือ ประเพณีแห่นางสังขาน หรือ แห่ว่อ (Hair Nang Sang Khan or Hair Vor) และกิจจะกรรมที่หรากหลายสร้างความสนใจให้นักท่องเที่ยวทั้งภายใน และต่างประเทศเข้ามาเที่ยวชมอย่างมากมาย 2. Dancing : ข้าวเหนียว และเสืยงแคน (Sticky rice and Khean,s) ข้าวเหนียว และเสืยงแคนเป็นรู้จักกันดี เป็นวัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นชาติชาติบ่งบอก ถึงวิถีชีวิตของประชาชนลาว ข้าวเหนียว และเสืยงแคนได้กำเนิดพ้อมกับการกำเนิดของชาติลาวแล้วได้กายเป็นสันยารักษ์ของความสมาคีบรรดาเผ่าใน ส.ป.ป.ลาว ข้าวเหนียว และเสืยงแคนเป็นที่รู้จักกันในสงคมทั้งภายใน และต่างประเทศ 3. Dancing : ฟ้อนสามชนเผ่า (Three Ethnic Group) ในส.ป.ป.ลาวมีสามชนเผ่าใหญ่จุดปะสงในการแสดงนี้ยากให้เห็นความแตกต่างวิถีชีวิต และ ฮิตครองประเพณีของแต่ระชนเผ่าที่ได้สืบทอดจากบรรพะบูรุส เช่นการแต่งกาย ภาษาพูดยังเป็นเอกลักษ์ของชนเผ่าตน 4. Dancing : ฟ้อนประเพณีปีใหม่ของชนเผ่าขะมุ “Khmuo Happy Dance” ขะมุ หรือลาวเทิงเป็นชนเผ่าหนึ่งที่รู้จักกันดีชนเผ่านี้ที่กระจายอยู่บรรดาประเทศเอเชย ตะวันออกเสี่ยงใต้ หรือ ออัตโตรเอเชยติก อาศัยอยู่ทางภาคใต้ของลาวเป็นจำนวนมากมักอาศัยอยู่ตามเนินภู อาชีพหลัก คือ ทำ ทำสวน และล่าสัต ประเพณีปีใหม่ของพวกเขาได้จัดขึ้นช่วงท้ายเดือนทันวาคม ซึ่งเป็นเสรีมสลองเก็บกู้ผลระปูก และมีหลายกิจจะกรรมที่นำมาแสดง เช่น ประกวดสาวงาม ประกวดนักร้องเสียงดี อื่น ๆ 5. Dancing : ฟ้อนดอกจำปา “National Flower” ดอกจำปา (Frangipani Flower) เป็นที่รู้จักกันดีทั้งภายใน และต่างประเทศว่าเป็นดอกไม้ประจำ ชาติของส.ป.ป.ลาวเป็นสันยารักษ์ดินแดนจำปาประชาชนส่วนมากจะใช้ทำภิธีบายสีสู่ขวัญ และใช้สำลับต้อนรับแขกต่างประเทศ 6. Dancing : ประเพณีปีใหม่ของชนเผ่าม้ง “Mhong Dance” ม้ง หรือ ลาวสูง ที่ดำรงชีวิตอยู่เขตภูสูงอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศลาวเป็นจำนวนมาก ภายหลังเก็บเกี่ยวผลระปูกเส็ดแล้วมีประเพณีเสรีมสลองปีใหม่ชนเผ่าจัดขึ้นในระหวางเดือน มกรคม หรือ เรืยกกันว่าบุญกินเจียงของชนเผ่าม้ง กิจจะกรรมประกอบมีคือ นำเอาผลชีพที่เก็บเกี่ยวนั้นมาทำอาหารเพื่อผีฟ้า ผีแถน และผีบรรพระบูรุสที่ช่วยคลุ้มครอง นอกนั้นยังมีกิจจะกรรม ต่าง ๆ เช่น ชนวัว โยนหมากครเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ครุ่บ่าวสาวรักมักแต่งงานกัน และเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่บรรพระบูรุสจนถึงทุกวันนี้ การแสดงศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้านของสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเห็นว่ามีความเป็นเอกลักษ์บ่งบอกถิงความเป็นชาติหนึ่ง ๆ และบ่งบอกถิงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาชนลาวบรรดาเผ่า ซึ่งแสดงออกในวิถีชีวิตของแต่ระชนเผ่าที่แตกต่างกันไป อ้างอิง สังเกตการ การสัมภาศษ์ ครั้งวันที่ 14-24 มกราคม 2553 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ htt://cul.offpre.rmutp.ac.th/filepdf/cul_vietnam.pdf times 12:23 minutes Date 26/1/10 htt://th.wikipedia.org/wiki/

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 เมษายน 2565 เวลา 15:09

    IGT Gaming, Casinos, and Games for sale in Maricopa
    Find your complete list apr casino of casinos, games and games at IGT Gaming in Maricopa, Arizona. 1. ventureberg.com/ Casinos in Casino dental implants at 바카라 사이트 Residence

    ตอบลบ